ธรรม ธรรมดา
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป
ในอดีตกาลเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี้ยังสร้างบารมีเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์
พระเจ้าปัญจาลราช แห่งกรุงปัญจาลราชนคร หลังจากเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงเป็นอุบาสก
พระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค ชาวเมืองที่เลื่อมใสก็พากันมาปิดทองพระพุทธรูป
ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนยากจนเข็ญใจในเมืองนั้น เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส เพื่อจะนำเงินไปซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ทองก็มีน้อย ปิดไม่พอทั้งองค์พระ เมื่อทองไม่พอก็จึงรำพึง
"ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน "
ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมา แปลงเป็นช่างทอง พระโพธิสัตว์เมื่อทราบว่าช่างทองนั้น สามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อ เมื่อได้อาวุธแล้วก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ เกิดความยินดีโสมนัส ขณะนั้นเองพระโพธิสัตว์ก็สลบไปด้วยความเจ็บปวด แทบเท้าพระพุทธรูป
ท้าวสักกเทวราชได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง
พระอินทร์ตรัส พยากรณ์
" ท่านจักได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์ในอนาคต " แล้วท้าวสักกเทวราชก็กลับสู่วิมาน
พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก
ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร
ด้วยอานิสงส์แห่งการปิดทองพระพุทธรูปบูชาด้วยประการฉะนี้แล
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
ค้างคาว ฟังธรรม ( พระอภิธรรม )
ค้างคาวฟังธรรม
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
พระพุทธกัสสป ในคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้า
ทรงสอนอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ คือ
ปกรณ์ 7 ประการ
ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่าเป็นปิฎกที่ 3 และเป็นปิฎกที่มีความสำคัญที่สุด ถ้าเทวดาและมนุษย์ปฏิบัติในด้านอภิธรรมทั้ง
7 ประการนี้ได้ครบถ้วน
ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วที่สุด
ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ก็ได้เลือกความรู้ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุมา เห็นว่าอภิธรรมมีความสำคัญเท่าความดีของพระมารดา
ควรแก่ก้อนข้าวและน้ำนมที่พระมารดาทรงเลี้ยง คือให้ชีวิตมา
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงนำพระอภิธรรมไปแสดง เทศน์จบเดียว ปรากฎว่าพระพุทธมารดาได้พระโสดาปัตติผล และมีเทวดาและพรหมมากท่าน
ได้ถึงซึ่งพระอมตะมหาปรินิพพาน คือเป็นพระอรหันต์
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนพระอภิธรรมแก่บรรดาพระสาวกแล้ว
คณะสาวกก็มีความประสงค์จะท่องจำให้ขึ้นใจ จึงพากันไปซ้อมพระอภิธรรมในถ้ำใหญ่
การซ้อมแบบนั้นเป็นการซ้อมให้คล่อง
ไม่ใช่ว่าจะซ้อมอภิธรรมให้เกิดความชำนาญแล้วนำไปสวดศพเพื่อหวังจะได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต
พระสมัยนั้นท่านไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านคิดอย่างเดียวว่า
ทำอย่างไรหนอเราจะเป็นอรหันต์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ นี่เป็นอารมณ์ใจส่วนใหญ่ และมีปริมาณสูงสุด ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่
เมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้นเรียนอภิธรรม จากสำนักของสมเด็จพระบรมครูแล้ว
จึงได้นำเอาพระอภิธรรม
ไปสาธยายให้ขึ้นใจ
เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ
ฉะนั้น ในขณะที่ท่านทั้งหลายเข้าไปซ้อมอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น ได้สวดเป็นทำนอง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ค้างคาว 500 ตัว
ได้ฟังก็รู้สึกชอบ แต่ว่าค้างคาวพวกนี้ไม่ได้ชอบธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครู ท่านชอบฟังเสียงทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นว่าอย่างไร พระทั้งหลายไปซ้อมกันก็ซ้อมแบบเสียงพร้อม
ๆ กัน
ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันเพื่อความคล่องและความมีระเบียบ ค้างคาวทั้งหมดชอบใจเสียงทั้งหมด
เพราะว่าฟังเรียบ ๆ เสนาะดี
จะรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงธรรมก็หาไม่
ฟังมาฟังไป ฟังไปฟังมา เผลอหลับ
เท้าก็หลุดหล่นลงมา
ศีรษะกระทบหินตายหมดทั้ง 500 ตัว
เมื่อตายแล้วเพราะฟังเสียงในธรรม
พอใจในธรรม ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า
500 เป็นบริวาร
ค้างคาวเป็นสัตว์เดรฉาน ไม่เข้าใจความหมาย แต่ผลบุญจากการฟังเสียงธรรม ยังส่งผลมากมายขนาดนี้ แล้วมนุษย์ผู้สามารถจะเข้าใจความหมายของเสียงธรรมเหล่านั้นได้ จะมีผลมากขนาดไหนวันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555
กรรมฐาน
กรรมฐานคืออะไร
กรรมฐาน เป็นคำเรียกโดยรวมในหมวดของการปฏิบัติธรรมประเภทหนึ่งในพระพุทธศาสนา
หมวดกรรมฐาน ประกอบด้วย ตัวกรรมฐาน และโยคาวจร ตัวกรรมฐาน
คือ สิ่งที่ถูกเพ่ง ถูกพิจารณา ได้แก่ อารมณ์ต่าง ๆ ส่วนโยคาวจร คือ ผู้เพ่งหรือผู้พิจารณา
ได้แก่ สติสัมปชัญญะและความเพียร การฝึกกรรมฐานว่าโดยธรรมาธิษฐานจึงหมายถึงการใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาอารมณ์
ที่มากระทบ อย่างระมัดระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น เพียรหมั่นระลึกถึงกุศลและรักษากุศลนั้นอยู่มิให้เสื่อมไป
หากกล่าวถึง
คำว่า กรรมฐาน เราจะเข้าใจกันว่า กรรมฐาน คือ สมาธิหรือการนั่งหลับตาท่องคำซ้ำ ๆ
ซึ่งเป็นการกระทำบางอย่างที่ต่างไปจากพฤติกรรม การให้ทาน การรักษาศีล
แต่สำหรับความหมาย ที่มีมาในพระบาลี ตามนัยแห่งมูลฎีกาแสดงวินิจฉัยคำ “กรรมฐาน”
ไว้ว่า
กมฺมเมว วิเสสาธิคมนสฺส ฐานนฺติ กมฺมฐาน
แปลว่าการงานที่เป็นเหตุแห่งการบรรลุคุณวิเศษชื่อว่า“กรรมฐาน”
เหตุแห่งการบรรลุคุณวิเศษนั้น
มิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะนั่งหลับตาภาวนาดังกล่าว แต่มีองค์ประกอบและรายละเอียด อีกมากมาย
ดังนั้น ความหมายของกรรมฐานเท่าที่เราเข้าใจ จึงยังคลุมเครือและยังต่างจากความหมายที่แท้จริงอยู่มาก
การสร้างความบริสุทธิ์แห่งจิตนี้ จำเป็นจะต้องมีสิ่งที่ไม่เป็นโทษให้จิตอิงอยู่ได้
สิ่งอิงที่ว่านี้มี ๒ ลักษณะ คือ
อาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่อยู่ภายนอกระบบร่างกายและจิตใจ หรือสิ่งที่อยู่ภายในระบบร่างกายและระบบจิตใจก็ได้
สิ่งที่อยู่นอกระบบร่างกายและจิตอาจเป็นส่วนที่สร้างขึ้นหรือมาจากภาวะแวดล้อม เช่น
ดวงกสิณ ซากศพ หรืออาหารที่รับประทานอยู่ทุกวัน ส่วนสิ่งที่มาจากภายในระบบร่างกายและระบบจิตใจ
ก็คือ อริยาบถต่าง ๆ และความคิด เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้สามารถนำมาเป็นองค์ประกอบในการฝึกอบรมจิตที่เรียกว่ากรรมฐานได้
(ชิน วินายะ มปป : ๒)
การปฏิบัติกรรมฐาน
เป็นการกระทำด้วยความตั้งใจหรือจงใจลักษณะหนึ่ง แต่เป็นไปในฝ่ายกุศลส่วนเดียว เพราะมิได้มีเหตุจูงใจจากความต้องการในกามคุณอารมณ์
การปฏิบัติกรรมฐานจึงไม่ขึ้นกับโลกธรรมและกามคุณดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายพื้นฐาน คือ
การอบรมจิตใจให้สงบจากนิวรณ์ธรรม คือ ตัณหา ความคิดมุ่งร้าย ความเกียจคร้าน ความเร่าร้อน
ไม่สบายใจ และระแวงสงสัย เป็นต้น จิตที่สงบจากนิวรณ์ธรรมทั้งหลายจักเข้าถึงสภาวะแห่งปัญญาได้ไม่ยากนัก
เนื่องจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ (กิริยวาท) และเป็นศาสนาแห่งความเพียรหรือวิริยวาท
(พระมหาบุญชิต สุดโปร่ง : ๒๕๓๖) ความเพียรในการปฏิบัตินี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่สำคัญ
คือ ศรัทธา ๔ ได้แก่ ความเชื่อในเรื่องกรรมหรือการกระทำ (กมฺมสทฺธา)
ในเรื่องผลของกรรม (วิปากสทฺธา)
ในความเป็นเจ้าของกรรมที่ตนทำ (กมฺมสกฺตาสทฺธา)
และความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ (ตถาคตโพธิสทฺธา)
ดังนั้น “ กรรม ” จึงเป็นคำสำคัญในคัมภีร์พระพุทธศาสนาใช้อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับโลกและชีวิตในเชิงพุทธ
มีความหมายสัมพันธ์กับคำว่า กุศล อกุศล บุญ บาป วาสนา บารมี (พระเมธีธรรมาภรณ์,
“กรรม” ในคำ : ร่องรอยความคิดความเชื่อไทย ๒๕๓๗
: ๑ )
การกระทำโดยทั่วไปมี ๓ ลักษณะ โดยแบ่งตามช่องทางที่แสดงออก คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีทั้งส่วนที่เป็นกุศลและอกุศล ส่วนมากอาศัยอารมณ์ทั้ง ๕ และมีโลกธรรม ๘ เป็นอารมณ์ และเป็นเหตุจูงใจให้มีการกระทำที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่น บุคคลมีเจตนาคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น (อกุศลมโนกรรม) ด้วยอำนาจความโลภ จึงแสดงพฤติกรรมของการแย่งชิง หรือไม่ก็หยิบฉวยไปโดยไม่ได้รับอนุญาต (อกุศลกายกรรม) เป็นต้นทรัพย์สมบัติของผู้อื่นซึ่งเป็นรูปธรรมจึงเป็นเหตุให้มีการกระทำต่าง ๆ ตามมา
กล่าวโดยสรุป
การฝึกกรรมฐานเป็นการกระทำกุศลกรรมชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะมโนกรรม ต่างจากกรรมทั่วไป ตรงที่เป้าหมายการกระทำเป็นไปเพื่อความสิ้นภพชาติ
สิ้นทุกข์ ไม่ต้องไปเกิดในแหล่งกำเนิดใดอีก เนื่องจากจิตต้องอิงอาศัยอารมณ์จึงเกิดขึ้นได้
และธรรมชาติของจิตมีความสัดส่ายไปตามอารมณ์ ไม่อาจหยุดนิ่งเพื่อการพิจารณาแม้เพียงชั่วครู่
จึงจำเป็นต้องใช้อุบายบางอย่าง เพื่อลดความสัดส่าย โดยหาสิ่งที่ไม่เป็นโทษให้จิตอิงอยู่
อุบายที่ว่านี้คือ ที่มาของกิจกรรมที่เรียกว่ากรรมฐาน
อุบายดังกล่าวแยกออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑. อุบายสงบใจ กล่าวคือ
อาศัยวิธีการท่องถ้อยคำบางอย่างซ้ำ ๆ กัน และบังคับตนเองในลักษณะ การสร้างแนวคิด เกี่ยวกับคำนั้น
สิ่งที่เราสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ความคิด หรือภาพพจน์ของคำ ๆ นั้น ล้วนเป็นองค์ประกอบของความสงบที่เรียกว่า
สมถกรรมฐาน
๒. อุบายเรื่องปัญญา อาศัยความรู้สึกตัวที่มีอยู่ รู้ถึงการสัมผัสทางทวารทั้ง ๖ รู้ถึงปรากฏการณ์ทางจิต ขณะร่างกายมีการกระทบสิ่งเร้า เฝ้าติดตามการรับรู้นี้ด้วยความตั้งใจ เมื่อมีความตั้งใจอยู่ที่ การรับ กระทบความคิดต่าง ๆ ก็จะถูกตัดออกไป จนไม่สามารถสอดแทรกเข้ามาได้ ไม่เปิดโอกาส ให้มีการก่อตัว ของแนวคิด ภาพลักษณ์หรือความคิดใด ๆ ตามมา เท่ากับเป็นการรู้เท่าทัน กระบวนการที่เกิดขึ้นโดยตรงในทันทีที่เกิดขึ้น จึงไม่เกิดการบิดผันใด ๆ ทางด้านความคิดนี้ คือ ส่วนของกิจกรรมที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (ชิน วินายะ มปป : ๒ - ๗ )
เนื่องจากกรรมฐานเป็นกุศโลบายบางอย่างที่เกิดจากความตั้งใจสร้างแนวคิดขึ้นหรือไม่ก็เป็นการตั้งใจรับความรู้สึกโดยไม่ผ่านแนวคิด
อารมณ์ที่จิตอิงอยู่จึงไม่เหมือนอารมณ์ทั่วไป ที่รับรู้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน
ภาพลักษณ์และความรู้สึกตัวเป็นผลมาจากความตั้งใจ ดังกล่าว และถูกจัดเป็นหมวดหมู่ของอารมณ์พิเศษที่มีหลักการและวิธีการรับรู้เป็นการเฉพาะสำหรับกรรมฐานแต่ละประเภท
เช่น แนวคิดของคำหรือภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นจากสมถกรรมฐาน ๔๐ อย่าง หรือความรู้สึกตัวในนาม-รูปจากวิปัสสนากรรมฐาน
มีขันธ์ อายตนะ เป็นต้น อารมณ์พิเศษและวิธีการเฉพาะนี้มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้โดยบังเอิญ
หรือนึกคิดจะทำตามความนิยมที่สืบต่อกันมาก็ทำได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องการความเข้าใจในเหตุปัจจัยและหลักการต่าง
ๆ เพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ ดังนั้น การเข้าหาอาจารย์ผู้มีความชำนาญในการใช้อุบายกรรมฐาน
การรู้ถึงจริตอัธยาศัยผู้เรียน การอยู่ในสถานที่ที่ไม่พลุกพล่าน มีการเรียนการสอน และการปฏิบัติควบคู่กันไป
และการอุทิศเวลาบางส่วนเพื่อศึกษาและปฏิบัติจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเจริญกรรมฐาน
ความสำคัญของกรรมฐาน
ความทุกข์เป็นสิ่งที่ชีวิตไม่ต้องการ พระพุทธศาสนาแบ่งความทุกข์ไว้ ๒ อย่าง
คือทุกข์ประจำและทุกข์จร ทุกข์ประจำ หมายถึง ทุกข์ที่มาพร้อมชีวิต คือ การเกิด แก่
ตาย ไม่มีใครหลีกเลี่ยงทุกข์ประจำนี้ได้ ส่วนทุกข์จรได้แก่ ความเศร้าโศก รำพัน ต้องอาลัยไม่ขาด
การไม่สมความปรารถนา และการพลัดพรากจากของรัก เป็นต้น เป็นเพียงทุกข์ที่ผลัดกันเกิดขึ้นในระหว่างที่เกิดแก่และตายนั่นเอง
อาจจะบรรเทาได้บางส่วนตามสมควร แต่ก็ไม่อาจทำให้ทุกข์จรนั้น หมดไปได้เช่นกัน สังคมในอดีตเคยต้องเกิด
แก่ ตายอย่างไร ปัจจุบันแม้จะมีเทคโนโลยี ที่ก้าวหน้าทันสมัยอย่างไร เทคโนโลยีเหล่านั้น
ก็ยังไม่อาจ แก้ปัญหาชีวิตที่ต้องแก่และต้องตายของชีวิตใครได้
พระพุทธศาสนามิได้สอนหรือบังคับให้หนีสังคม มิได้ถ่วงความเจริญ หรือพยายามหยุดยั้งเทคโนโลยีที่กำลังก้าวกระโดดนั้น
อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน ที่จริงแล้วจะมีเทคโนโลยีหรือไม่มีก็ตาม ปัญหาก็มิได้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากเดิม
ทั้งนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ มีทั้งส่วนที่ให้คุณและให้โทษ ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้มากกว่า
จุดยืนทางศาสนาอยู่ที่การเป็นสัญญาณ เตือนภัยที่จะเกิดแก่มนุษย์ ภัยนั้นมีอยู่รอบด้านโดยเฉพาะภัยทางความคิด
ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็นและไม่เชื่อว่าเป็นภัยจริง มุมมองที่คับแคบอาจทำให้มนุษย์มอง
เห็นเพียงด้านเดียว ของความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี
แล้วกล่าวอ้างถึงความเจริญทันสมัย เพื่อสนับสนุนความคิดของตน
และเลือกที่จะทำตามความคิดนั้น จนละเลยปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง
ศาสนามีหน้าที่แสดงความจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิต แนะนำถึงความรอบคอบ
และรอบรู้ในการดำเนินชีวิต โดยเกิดความเดือดร้อน
น้อยที่สุด รอบรู้ว่าสิ่งใดควรคิดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ช่วยให้มนุษย์เข้าใจชีวิตและส่วนที่เป็นปัญหา
มีระเบียบในเรือนใจ และการยอมรับเหตุผล ทำให้สามารถหาทางออกจากความขัดแย้งและอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาได้อย่างผู้รู้กาลเทศะ
จุดมุ่งหมายของกรรมฐาน
การฝึกกรรมฐาน เป็นกิจกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนา
เกิดขึ้นเพื่อเป็น พื้นฐานรับรองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ดังกล่าว
ในพระศาสนา แม้จะ มีจุดหมายสูงสุดอยู่ที่การบรรลุ คุณวิเศษ คือ มรรค ผล นิพพาน
แต่ถ้าจิตใจยังพัฒนา ไม่ผ่านขั้นตอนการยอมรับ การเวียนว่ายตายเกิด อันยาวนานของตนเอง หรือยังมีความสงสัยในเรื่องภพชาติ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและที่จะเป็นไปในอนาคตแล้ว
ขบวนการถอนรากถอนโคนกิเลสตัณหา อาสวะ และอนุสัยต่าง ๆ ในจิตใจอย่างจริงจังจะยังไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ภัยของภพชาตินั้น มาจาก ความจำเจวนเวียน ที่ชีวิตต้องอยู่กับ ความสุขบ้าง
ความทุกข์บ้าง มีความผันแปรไปตามเหตุปัจจัย
มิได้ผันแปรไปตาม ความต้องการของตนเอง การเห็นภัยจึงมีความสำคัญทำให้ผู้เห็นภัยดังกล่าวยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตจากที่เคยวนเวียน
เป็นไปเนื่องด้วยกิเลสตัณหา สู่วิถีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะดำเนินชีวิตไปตามทางมรรคได้อย่างมั่นคง
ความกลัวภัย ทำให้เราเปลี่ยนแนวความคิด เปลี่ยนความต้องการใหม่ ตรงนี้คือ จุดเริ่มของพระพุทธศาสนา
การทำทาน รักษาศีล ไม่ช่วยให้เกิดความรู้สึกกลัวภัยได้ คนที่จะน้อมเข้ามาในการปฏิบัติกรรมฐานจะต้องเห็นภัยในวัฏสงสารก่อน จึงจะมองหาการปฏิบัติ
แต่การปฏิบัติบางอย่างอาจทำให้เกิดความสุขมากมาย ซึ่งไม่ช่วยให้เห็นภัยของวัฏฏะ
นั่นก็ไม่ตรงกับพระพุทธศาสนา พื้นฐานความคิดเกี่ยวกับ
ภัยของวัฏสงสารจะได้จากการเรียนก่อน จากนั้นจึงน้อมเข้ามาสู่การปฏิบัติ
(พระมหาณรงค์ศักดิ์ ฐิตญาโณ. สัมภาษณ์.)
การพิสูจน์การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มิใช่เพียงการทำจิตให้สงบแล้วพาไปดูนรกสวรรค์หรือจินตนาการถึงพระนิพพาน
ว่าเป็นเมืองแก้วตามที่ได้ยินมา การยอมรับว่ามีนรกสวรรค์ดังกล่าว มีประโยชน์ในแง่ของการสร้างศรัทธา
ที่จะทำความดี ละเว้นความชั่ว เพื่อความสุขของชีวิตในภพนี้และภพหน้า แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อและทิฏฐิ ที่เป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานได้
จึงมีความปรารถนาการเกิดอยู่เสมอไป ไม่รู้สึกว่าสังสารวัฏฏ์ จะเป็นภัย
ต่อชีวิตตนเองได้อย่างไร การเผชิญ กับความเกิดดับ (ตาย) อย่างซ้ำซากเฉพาะหน้า
จำต้องอาศัยความเข้าใจ และการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางจิตขั้นเอกอุ จึงจะยอมรับภัยของชีวิตได้
ซึ่งมีวิธีการอยู่ ๒ วิธี คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
วิธีการต่าง
ๆ ที่กำหนดขึ้น ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นอุบายในการฝึกสังเกตความเป็นไปของจิตขณะ
กระทบอารมณ์ต่าง ๆ เป้าหมายการสังเกตอยู่ที่ความสามารถในการรับรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนเองก่อนที่จะ
แสดงพฤติกรรมอะไรออกไปทางกาย วาจา หากเราเข้าใจช่วงต่อของความรู้สึกนึกคิด
จากความรู้สึกเก่า (วิบากวัฏ) ปรุงแต่งไปสู่ความรู้สึกใหม่ (กิเลสวัฏ)
เป็นเหตุให้เกิดการกระทำใหม่อีก (กรรมวัฏ) ว่าวิบากเป็นเพียงผลมาจากอดีตกรรม
ไม่มีใครเลือกรับแต่วิบากดี หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนกรรมในอดีตได้ ตัววิบากเองไม่ดีและไม่ชั่วรับผลแล้วดับไป แต่การดับไป
ถูกตัวกิเลสปิดบัง และปรุงแต่งให้ดูเหมือน ยังมีอยู่ตลอดเวลา
ไม่ด้วยวิธีการสืบต่ออารมณ์อย่างรวดเร็วไม่ขาดสาย ก็ด้วยความเป็นกลุ่มของ อัตตาที่ยึดถือขึ้นมาเอง
ความยึดถือและสำคัญผิดนี้ คือส่วนของการปรุงแต่งเป็นกรรมใหม่ที่พยายาม
จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง สิ่งภายนอกให้เป็นไปตามความต้องการของตน
วัฏสงสารแห่งกิเลส - กรรม - วิบาก อันเป็นปมปัญหาของชีวิต ที่เคยทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้น แฝงอยู่ ณ จุดเชื่อมต่อระหว่างความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันนั่นเอง
หากเข้าใจจุดมุ่งหมายและสามารถปฏิบัติกรรมฐานธรรมไปตามแบบที่พระพุทธองค์วางไว้จนเกิดผลในระดับหนึ่งแล้ว
ประสบการณ์ทางศาสนาดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้น
มิใช่ศรัทธาที่เกิดขึ้นจากการ ฟังตามกันมา แต่เป็นความศรัทธาที่มั่นคงในความจริงเฉพาะหน้า
รู้จักว่าส่วนใดเป็นคุณค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา ส่วนใดมิใช่คุณค่า และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณพระศาสนาด้วยความเคารพและกตัญญู
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
พระอภิธรรม พระมหาปัฏฐาน
พระอภิธรรม พระมหาปัฏฐาน
__________________
มหาปัฏฐาน และเป็นคัมภีร์ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า จะสูญสิ้นเป็นคัมภีร์แรก เพราะเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้ง สุขุมคัมภีร์ภาพด้วยปัจจัยแห่งปรมัตถธรรม
บาลี
|
คำอ่าน
|
เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย อธิปติปจฺจโย
|
เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อธิปะติปัจจะโย
|
อนนฺตรปจฺจโย สมนนฺตรปจฺจโย
|
อนันตะระปัจจะโย สะมะนันตะระปัจจะโย
|
สหชาตปจฺจโย อญฺมญฺปจฺจโย
|
สะหะชาตะปัจจะโย อัญญะมัญญะปัจจะโย
|
นิสฺสยปจฺจโย อุปนิสฺสยปจฺจโย ปุเรชาตปจฺจโย
|
นิสสะยะปัจจะโย อุปะนิสสะยะปัจจะโย ปุเรชาตะปัจจะโย
|
ปจฺฉาชาตปจฺจโย อาเสวนปจฺจโย กมฺมปจฺจโย
|
ปัจฉาชาตะปัจจะโย อาเสวะนะปัจจะโย กัมมะปัจจะโย
|
วิปากปจฺจโย อาหารปจฺจโย อินฺทฺริยปจฺจโย
|
วิปากะปัจจะโย อาหาระปัจจะโย อินทริยะปัจจะโย
|
ฌานปจฺจโย มคฺคปจฺจโย
|
ฌานะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย
|
สมฺปยุตฺตปจฺจโย วิปฺปยุตฺตปจฺจโย อตฺถิปจฺจโย
|
สัมปะยุตตะปัจจะโย วิปปะยุตตะปัจจะโย อัตถิปัจจะโย
|
นตฺถิปจฺจโย วิคตปจฺจโย อวิคตปจฺจโย ฯ
|
นัตถิปัจจะโย วิคะตะปัจจะโย อะวิคะตะปัจจะโย.
|
พระมหาปัฏฐาน (แปล)
| |
ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัยหาที่สุดมิได้
| |
ธรรมที่มีปัจจัยมีที่สุดเสมอกัน ธรรมที่เกิดพร้อมกับปัจจัย
| |
ธรรมที่เป็นปัจจัยของกันและกัน ธรรมที่มีนิสัยเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีธรรมเกิดก่อนเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีธรรมเกิดภายหลังเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีการเสพเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีกรรมเป็นปัจจัย ธรรมที่มีวิบากเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีอาหารเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอินทรีย์เป็นปัจจัย
| |
ธรรมทีมีฌานเป็นปัจจัย ธรรมที่มีมรรคเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีการประกอบเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่มีการอยู่ไม่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัย
| |
ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย
| |
ธรรมที่ไม่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย.
|
มหาปัฏฐาน และเป็นคัมภีร์ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า จะสูญสิ้นเป็นคัมภีร์แรก เพราะเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้ง สุขุมคัมภีร์ภาพด้วยปัจจัยแห่งปรมัตถธรรม
ตามหลักฐานกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาพระอภิธรรม ๗
คัมภีร์อยู่นั้น เมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๑ คือ ธัมมสังคณี
จนถึงคัมภีร์ที่ ๖ คือ ยมก มาตามลำดับมิได้มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น
ต่อเมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๗ คือ ปัฏฐาน
จึงได้เกิดรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายถึง ๖ สี (หรือที่เรียกว่า ฉัพพรรณรังสี)
ฉัพพรรณรังสี คือสีที่แผ่ออกจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มี ๖ สี คือ 1 โอตาทะกัง ขาว 2 ปีตัง เหลือง 3 โลหิตัง แดง 4 นีลัง เขียว 5
มัญเญถ ชมพู 6 ปภัสสร เลื่อมพราย แสงเหล่านี้เรียกอีกอย่างว่า วรรณรังสี (แสงออร่า) ซึ่งทั้ง ๖ สีถือว่า เป็นสีมงคลของชาวพุทธ
พระอภิธรรม พระยะมะกะ
พระอภิธรรม พระยะมะกะ
บาลี
|
คำอ่าน
|
เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต กุสลมูลา
|
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะละมูลา,
|
เย วา ปน กุสลมูลา สพฺเพ เต ธมฺมา กุสลา ฯ
|
เย วา ปะนะ กุสะละมูลา สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา,
|
เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต กุสลมูเลน เอกมูลา
|
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา,
|
เย วา ปน กุสลมูเลน เอกมูลา สพฺเพ เต
|
เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา สัพเพ เต
|
ธมฺมา กุสลา ฯ
|
ธัมมา กุสะลา.
|
พระยะมะกะ (แปล)
| |
ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีกุศลเป็นมูล
| |
อีกอย่าง ธรรมเหล่าใดมีกุศลเป็นมูล
| |
ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นกุศล
| |
ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล
| |
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่เป็นกุศล
| |
ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศล.
|
__________________
พระอภิธรรม พระกถาวัตถุ
พระอภิธรรม พระกถาวัตถุ
__________________
บาลี
|
คำอ่าน
|
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ สจฺฉิกฏฺปรมฏฺเนาติ ฯ
|
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัฏฐะปะระมัตเฐนาติ
|
อามนฺตา ฯ
|
อามันตา,
|
โย สจฺฉิกฏฺโ ปรมฏฺโ ตโต โส
|
โย สัจฉิกัฏโฐ ปะระมัฏโฐ ตะโต โส
|
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ
|
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ
|
สจฺฉิกฏฺปรมฏฺเนาติ ฯ
|
สัจฉิกัฏฐะปะระมัฏเฐนาติ,
|
น เหวํ วตฺตพฺเพ ฯ
|
นะ เหวัง วัตตัพเพ,
|
อาชานาหิ นิคฺคหํ หญฺจิ ปุคฺคโล อุปลพฺภติ
|
อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ
|
สจฺฉิกฏฺปรมฏฺเน เตน วต เร
|
สัจฉิกัฏฐะปะระมัฏเฐนะ เตนะ วะตะ เร
|
วตฺตพฺเพ โย สจฺฉิกฏฺโ ปรมฏฺโ ตโต โส
|
วัตตัพเพ โย สัจฉิกัฏโฐ ปะระมัฏโฐ ตะโต โส
|
ปุคฺคโล อุปลพฺภติ
|
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ
|
สจฺฉิกฏฺปรมฏฺเนาติ มิจฺฉา ฯ
|
สัจฉิกัฏฐะปะระมัฏเฐนาติ, มิจฉา.
|
พระกถาวัตถุ (แปล)
| |
(ถาม) ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ ความหมายที่แท้จริงหรือ
| |
(ตอบ) ใช่... ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายที่แท้จริง
| |
(ถาม) ปรมัตถ์ คือ ความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ ค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์
| |
คือโดยความหมายอันแท้จริงอันนั้นหรือ
| |
(ตอบ) ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนี้ ท่านจงรู้นิคคะหะเถิด
| |
ว่าท่านค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายอันแท้จริงแล้ว
| |
ท่านก็ควรกล่าวด้วยเหตุนั้นว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่
| |
เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้น
| |
คำตอบของท่านที่ว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่
| |
เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือ โดยความหมายอันแท้จริงนั้นจึงผิด.
|
พระอภิธรรม พระปุคคะละปัญญัตติ
พระอภิธรรม พระปุคคะละปัญญัตติ
__________________
บาลี
|
คำอ่าน
|
ฉ ปญฺตฺติโย ขนฺธปญฺตฺติ อายตนปญฺตฺติ
|
ฉะ ปัญญัตติโย ขันธะปัญญัตติ อายะตะนะปัญญัตติ
|
ธาตุปญฺตฺติ สจฺจปญฺตฺติ อินฺทฺริยปญฺตฺติ
|
ธาตุปัญญัตติ สัจจะปัญญัตติ อินทริยะปัญญัตติ
|
ปุคฺคลปญฺตฺติ ฯ
|
ปุคคะละปัญญัตติ, กิตตาวะตา
|
กิตฺตาวตา ปุคฺคลานํ ปุคฺคลปญฺตฺติ,
|
ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ,
|
สมยวิมุตฺโต อสมยวิมุตฺโต
|
สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต
|
กุปฺปธมฺโม อกุปฺปธมฺโม
|
กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม
|
ปริหานธมฺโม อปริหานธมฺโม
|
ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม
|
เจตนาภพฺโพ อนุรกฺขนาภพฺโพ
|
เจตะนาภัพโพ อนุรักขะนาภัพโพ
|
ปุถุชฺชโน โคตฺรภู ภยูปรโต อภยูปรโต
|
ปุถุชชะโน โคตระภู ภะยูปะระโต อะภะยูปะระโต
|
ภพฺพาคมโน อภพฺพาคมโน นิยโต อนิยโต
|
ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน นิยะโต อะนิยะโต
|
ปฏิปนฺนโก ผเลฏฺิโต อรหา อรหตฺตาย ปฏิปนฺโน ฯ
|
ปฏิปันนะโก ผะเลฏฐิโต อะระหา อะระหัตตายะ ปฏิปันโน.
|
พระปุคคะละปัญญัตติ (แปล)
| |
บัญญัติ ๖ คือ ขันธบัญญัติ อายตนบัญญัติ ธาตุบัญญัติ สัจจบัญญัติ
| |
อินทรีย์บัญญัติ บุคคลบัญญัติ บุคคลบัญญัติของบุคคลมีเท่าไร
| |
มีการพ้นจากสิ่งที่ควรรู้ การพ้นจากสิ่งที่ไม่ควรรู้
| |
ผู้มีธรรมที่กำเริบได้ ผู้มีธรรมที่กำเริบไม่ได้
| |
ผู้มีธรรมที่เสื่อมได้ ผู้มีธรรมที่เสื่อมไม่ได้
| |
ผู้มีธรรมที่ควรแก่เจตนา ผู้มีธรรมที่ควรแก่การรักษา
| |
ผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้รู้ตระกูลโคตร ผู้เข้าถึงภัย ผู้เข้าถึงอภัย
| |
ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ควร ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ไม่ควร ผู้เที่ยง
| |
ผู้ไม่เที่ยง ผู้ปฏิบัติ ผู้ตั้งอยู่ในผล ผู้เป็นพระอรหันต์
| |
ผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหันต์.
| |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)